วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรื่องกล้วย ๆที่ไม่กล้วย และยิ่งกว่ากล้วย !!!

  กล้วย เมื่อเปรียบเทียบกับแอปเปิ้ลแล้ว



กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ลสี่เท่า
มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า สองเท่า
มีฟอสฟอรัสมากกว่าสามเท่า
มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่าห้าเท่า
และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ มากกว่าสองเท่า และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต

โรคซึมเศร้า
จากการสำรวจโดย MIND ในกลุ่มของผู้ที่มีอาการซึมเศร้า หลายๆ คนรู้สึกดีขึ้นเมื่อกินกล้วยเหตุผลก็คือกล้วยมีส่วนประกอบของทริปโตแฟน (Tryptophan) โปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราจะเปลี่ยนให้เป็น เซโรโทนิน (Serotonin) ที่รู้จักกันดีว่า
จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย
อารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น
นอกจากนี้กล้วยยังมีส่วนประกอบของวิตามินบี 6
ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่ ซึ่งมีผลไปถึงอารมณ์ของคุณด้วย ผู้หญิงที่มีอาการ PMS (Premenstrual Syndrome) หรือช่วง ´รมณ์บ่จอย´ ก่อนมีประจำเดือน) ควรกินกล้วยจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นนะจ๊ะ

โรคโลหิตจาง
กล้วยมีธาตุเหล็กอยู่มาก สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยรักษาอาการโลหิตจางได้ โรคเกี่ยวกับความดันโลหิต กล้วยมีโปแตสเซียมสูงมากในขณะที่มีเกลือต่ำ จึงช่วยปรับความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
อีกทั้งกระตุ้นการทำงานของสมองให้รู้สึกตื่นตัว
องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ยอมให้โรงงานผลิตกล้วยกล่าวอ้างได้ว่ากล้วยช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับความดันโลหิตได้

ท้องเสีย
กล้วยดิบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย เช่น Escherichia coli สารสำคัญคือแทนนิน มีฤทธิ์แก้อาการท้องเสีย
โดยนำกล้วยดิบมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง
แล้วบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใส่ในถ้วยน้ำชา ผสมกับน้ำผึ้งหนึ่ง ช้อนโต๊ะ รับประทานแก้ท้องเสีย

ทราบหรือไม่
แทบจะทุกส่วนของกล้วยมีสรรพคุณทางยาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น
- ผลกล้วยสุก บรรเทาอาการท้องผูก ความดันโลหิตสูง เจ็บคอ บำรุงผิว
- ต้นและใบแห้ง นำมาเผา รับประทานครั้งละประมาณหนึ่งช้อนชา หลังอาหาร แก้เคล็ดขัดยอก
- หัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนม
- ยางจากปลีกล้วยหรือก้านกล้วย ใช้รักษาแผลสด และทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้
- รากกล้วย แก้ปวดฟัน แก้ร้อนใน โลหิตจาง ปวดหัว ปัสสาวะขัด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
- ดอกกล้วย ช่วยเรื่องประจำเดือนขัด แก้ปวดประจำเดือน โรคเบาหวานและโรคหัวใจ
- เปลือกกล้วย แก้ผิวหนังเป็นหูด ตุ่มคัน หรือเป็นผื่น และฝ่ามือฝ่าเท้าแตก

กล้วยตอนเช้า คุณประโยชน์เต็มเปี่ยม

กล้วยตอนเช้า คุณประโยชน์เต็มเปี่ยม !!!

     หลายคนมองหาวิธีลดน้ำหนักให้ได้ผลอย่างจริงจัง บ้างอดข้าว อดน้ำ ไม่กินอะไรสักอย่างเพื่อให้น้ำหนักลดลง บ้างก็เลือกกินแต่ผลไม้อย่างเดียว บ้างก็ไปหาหมอเพื่อกินยาหวังให้ส่วนเกินลดลงไปหายไป บ้างก็กินยาถ่ายเพื่อหวังให้ตัวเบาขึ้นกว่าเดิม บ้างก็ใช้วิธีอื่น ๆ ที่ได้รับการบอกต่อกันมา
     วิธีเหล่านี้อาจจะมีผลดีบ้างในช่วงแรก ๆ แต่หลังจากผ่านเวลาไปสักพักแล้วก็จะพบว่าไม่เป็นผล ไม่มีทางที่ใครจะกินผลไม้อย่างเดียวไปตลอดชีวิต หรือไม่กินอะไรเลยทั้งวันต่อเนื่องกันยาวนาน หรือาจใช้การกินยาถ่ายบ่อย ๆ เมื่อผ่านเวลาไปนาน ๆ เข้า ลำไส้ก็จะเริ่มทำงานผิดปกติ คราวนี้ยาถ่ายก็จะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป แถมยังส่งผลร้ายให้เป็นคนขับถ่ายได้ยากกว่าเดิม บางคนส่งผลถึงกับกลายเป็นคนถ่ายไม่ออกเป็นเดือน ๆ ก็มี แล้วถ้าเช่นนั้นจะใช้วิธีไหนดีน้ำหนักถึงจะลดลงได้
     วิธีหนึ่งที่น่าสนใจและกำลังเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่นก็คือ การกินกล้วยมื้อเช้า หลายคนอาจทำหน้างงว่าทำไมต้องเป็นกล้วยมื้อเช้า เป็นแอปเปิล มะละกอ แตงโม ระกำ บ้างได้ไหม ก็ขอแนะนำตรงนี้เลยว่า กล้วยนับเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดชนิดหนึ่ง ในกล้วยนั้นจะมีวิตามินบี 1 และบี 2 ที่ช่วยในการเร่งเผาผลาญ น้ำตาลและไขมัน ทั้งยังช่วยฟื้นฟูร่างกายการจากเหนื่อยล้า อีกยังมีโปแตสเซียมช่วยในการขับโซเดียม อันเป็นหนึ่งในตัวการที่จะทำให้ความดันเลือดสูงออกทางปัสสาวะ และส่งผลให้ลดการบวมของร่างกายได้
     แมกนีเซียมในกล้วยยังช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียมในร่างกาย เส้นใยที่มีอยู่ในกล้วย จะส่งผลให้ระบบการขับถ่ายในแต่ละวันของร่างกายเราดีขึ้น กล้วยยังมีเซโรเทนินที่ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้นอีกด้วย
     กล้วยยังมีคุณประโยชน์อีกหลากหลายชนิด ทั้งไฟโตเคมิคัลที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ป้องกันมะเร็ง มีเอนไซม์ช่วยในการย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานหนักลดลง ในกล้วยดิบยังมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง และหากกล้วยสุก ก็ทำให้ร่างกายสร้างสารภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นกว่าปกติอีกด้วย
     ทั้งหมดเป็นประโยชน์ที่ได้รับจาการกินกล้วยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งกินตอนไหนก็ได้ แต่หากเราเฉพาะเจาะจงให้การกินกล้วยได้ผลสูงสุดต้องเป็นตอนเช้าครับ ทั้งหมดก็เพื่อจำกัดการทำงานของกระเพาะและลำไส้ให้น้อยที่สุด และจะทำให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟูสภาพอย่างเต็มที่ การกินกล้วยตอนเช้านั้นจะทำให้ร่างกายได้รับปริมาณน้ำที่พอดี การไหลเวียนของของเหลวในร่างกายก็จะดีขึ้น และหากอยากให้ได้ผลอย่างจริงจัง ก็ต้องกินเฉพาะกล้วยกับน้ำเปล่าเท่านั้น รวมทั้งต้องนอนก่อนเที่ยงคืนอีกด้วย และถ้าเกิดหิวขึ้นกลางดึกก็ควรจะกินผลไม้เท่านั้น
     ในยุคปัจจุบันด้วยแล้ว ช่วงเวลาตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่เร่งรีบที่สุด บางคนถึงกับไม่กินอาหารเช้ากันเลย หรือไม่ก็เลือกกินเพียงแค่กาแฟกับขนมปังเท่านั้น ดังนั้นถ้าหากลองเปลี่ยนช่วงเวลาแห่งความเร่งรีบ มากินกล้วยตอนเช้าก็น่าจะสะดวกง่ายดาย แถมกล้วยยังเป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์เยอะ ทำให้เมื่อกล้วยเคลื่อนที่เข้าไปสู่กระเพาะ การย่อยก็ไม่จำเป็น กล้วยจึงเคลื่อนที่สู่ลำไส้ และเริ่มดูดซึมไปใช้กับร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
      การกินกล้วยมื้อเช้ายังมีส่วนช่วยทำให้อาการท้องผูกหายไป และส่งผลให้อุจจาระที่ตกค้างอยู่ในร่างกายค่อย ๆ ลดลงอีกด้วย บางคนที่มีน้ำหนักเกินนั้น ไม่ได้เพียงเพราะมีไขมันล้นเกินเพียงอย่างเดียวหรอกครับ แต่เนื่องจากมีของเสียสะสมอยู่ในร่างกายมากเกินไปต่างหาก (บางคนมีอุจจาระสะสมอยู่ในตัวตั้ง 10 กิโลกรัม) เพราะฉะนั้นหลังจากเริ่มกินกล้วยมื้อเช้าไปแล้ว ของเสียต่าง ๆ จะเริ่มค่อยๆ ถูกขับออกมาจนน้ำหนักลดลง
      การกินกล้วยมื้อเช้า เพื่อหวังผลในการลดน้ำหนักนั้นอาจจะไม่ได้ผลในช่วงแรก ๆ ไม่ใช่ว่ากินเพียงแค่วันสองวัน แล้วจะได้ผลเลยทันที แต่ต้องทำต่อเนื่องติดต่อกินสักระยะ และหากอยากลดน้ำหนักอย่างจริงจัง ลองจดทุกอย่างที่กินเข้าไปในแต่ละวัน เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้าจนเข้านอน การจดจะช่วยทำให้คุณได้เข้าใจมากขึ้นว่า ในแต่ละวันคุณกินอะไรเข้าไปบ้าง
การกินกล้วยมื้อเช้านั้น ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยทำให้คุณไม่ต้องอด ไม่ต้องทน ไม่เปลืองเวลา และไม่เปลืองเงิน เพราะในระหว่างวันนั้นคุณอยากกินอะไรอยากทำอะไรก็ทำได้ (ยกเว้นเงื่อนไขตามที่บอกไปตอนต้น) แต่ถ้าคุณอยากรู้ว่าได้ผลจริงหรือไม่ ลองดูครับ พรุ่งนี้กินกล้วยตอนเช้าดูสิค่ะ

ที่มาข้อมูล kroobannok.com

กล้วย !!!

 กล้วย เมื่อเปรียบเทียบกับแอปเปิ้ลแล้ว




กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ลสี่เท่า
มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า สองเท่า
มีฟอสฟอรัสมากกว่าสามเท่า
มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่าห้าเท่า
และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ มากกว่าสองเท่า และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต

โรคซึมเศร้า
จากการสำรวจโดย MIND ในกลุ่มของผู้ที่มีอาการซึมเศร้า หลายๆ คนรู้สึกดีขึ้นเมื่อกินกล้วยเหตุผลก็คือกล้วยมีส่วนประกอบของทริปโตแฟน (Tryptophan) โปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราจะเปลี่ยนให้เป็น เซโรโทนิน (Serotonin) ที่รู้จักกันดีว่า
จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย
อารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น
นอกจากนี้กล้วยยังมีส่วนประกอบของวิตามินบี 6
ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่ ซึ่งมีผลไปถึงอารมณ์ของคุณด้วย ผู้หญิงที่มีอาการ PMS (Premenstrual Syndrome) หรือช่วง ´รมณ์บ่จอย´ ก่อนมีประจำเดือน) ควรกินกล้วยจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นนะจ๊ะ
 
โรคโลหิตจาง

กล้วยมีธาตุเหล็กอยู่มาก สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยรักษาอาการโลหิตจางได้ โรคเกี่ยวกับความดันโลหิต กล้วยมีโปแตสเซียมสูงมากในขณะที่มีเกลือต่ำ จึงช่วยปรับความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
อีกทั้งกระตุ้นการทำงานของสมองให้รู้สึกตื่นตัว
องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ยอมให้โรงงานผลิตกล้วยกล่าวอ้างได้ว่ากล้วยช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับความดันโลหิตได้

ท้องเสีย
กล้วยดิบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย เช่น Escherichia coli สารสำคัญคือแทนนิน มีฤทธิ์แก้อาการท้องเสีย
โดยนำกล้วยดิบมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง
แล้วบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใส่ในถ้วยน้ำชา ผสมกับน้ำผึ้งหนึ่ง ช้อนโต๊ะ รับประทานแก้ท้องเสีย

ทราบหรือไม่
แทบจะทุกส่วนของกล้วยมีสรรพคุณทางยาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น
- ผลกล้วยสุก บรรเทาอาการท้องผูก ความดันโลหิตสูง เจ็บคอ บำรุงผิว
- ต้นและใบแห้ง นำมาเผา รับประทานครั้งละประมาณหนึ่งช้อนชา หลังอาหาร แก้เคล็ดขัดยอก
- หัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนม
- ยางจากปลีกล้วยหรือก้านกล้วย ใช้รักษาแผลสด และทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้
- รากกล้วย แก้ปวดฟัน แก้ร้อนใน โลหิตจาง ปวดหัว ปัสสาวะขัด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
- ดอกกล้วย ช่วยเรื่องประจำเดือนขัด แก้ปวดประจำเดือน โรคเบาหวานและโรคหัวใจ
- เปลือกกล้วย แก้ผิวหนังเป็นหูด ตุ่มคัน หรือเป็นผื่น และฝ่ามือฝ่าเท้าแตก

เผยสรรพคุณเรื่องกล้วย-กล้วย

ชี้กินกล้วยสุกช่วยบรรเทาลำไส้ใหญ่อักเสบ


     กล้วยเป็นอาหารที่ปรุงได้ทั้งคาวและหวาน นอกเหนือจากการกินผลสุกเป็นผลไม้ ทว่าสิ่งที่มาควบคู่กับความอร่อยนั้นยังมีทั้งคุณค่าทางโภชนาการ และคุณสมบัติในการรักษาโรคบางชนิดได้อีกด้วย  คนโบราณใช้กล้วยเป็นพืชสมุนไพรในการรักษาโรคมานานแล้ว โดยใช้ทั้งผลกล้วย และเปลือกกล้วยให้เป็นประโยชน์ อาทิ กาบกล้วย ใช้ทาแก้โรคผมร่วง หัวล้าน ใบกล้วย รากกล้วย กาบกล้วยนำมาต้มน้ำเป็นยาดื่มช่วยลดไข้บรรเทาอาการปวดหัว เปลือกกล้วยใช้ทาแก้แมลงกัด และผื่นคัน เป็นต้น   ผลกล้วยทั้งดิบและสุก ก็นำมาใช้รักษาโรคได้มากมาย โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร อาทิ กล้วยน้ำว้าดิบ นำมาหั่นบางๆ ตากให้แห้ง บดผสมกับน้ำผึ้ง ใช้แก้โรคกระเพาะได้  คนที่ท้องผูก ควรเลือกกินกล้วยสุก เพราะมีสารแพ็กตินกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ไม่ควรกินกล้วยดิบ เพระมีสารแทนนิน ซึ่งจะทำให้ท้องผูกมากขึ้น แต่ถ้าท้องเสียควรกินกล้วยดิบ โดยนำมาเผาไฟให้สุกก่อนกิน  โรคเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่อักเสบ ก็ควรกินกล้วยสุก เพราะช่วยเคลือบผนังลำไส้ และช่วยเพิ่มกากกระตุ้นลำไส้ให้ทำงาน

ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

กล้วยน้ำว้า

 กล้วยน้ำว้า ประโยชน์กับการดูแลสุขภาพ !!!

     กล้วยน้ำว้า ผลไม้ไทย ที่มีมาแต่รู้โบราณ คนไทยรู้จักกล้วยน้ำว้าดีพอ ๆ กับกล้วยไข่หรือกล้วยหอม ยิ่งถ้าเป็นคุณค่าสารอาหารที่ได้รับแล้ว มากประโยชน์ถึงขั้นที่เรียกว่าต้องรีบไปหามากินกันเลยทีเดียว
กล้วยดีอย่างไร
     กล้วย ถึงจะเป็นผลไม้ ที่ไม่น่าจะให้พลังงานได้เยอะ แต่เชื่อหรือไม่ว่า กล้วยเป็นแหล่งพลังงานสำรองชั้นดี ในกล้วย 1 ผล สามารถให้พลังงานได้ร่วม 100 แคลอรี่ มีน้ำตาลธรรมชาติอยู่ 3 ชนิด ทั้ง ซูโครส ฟรุคโทส และกลูโครส รวมไปถึงเส้นใยและกากอาหาร ดังนั้น ถ้าหากหิว ก็สามารถทานกล้วยรองท้องได้ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของกล้วยที่กิน เช่น กล้วยไข่ อาจทานได้มากกว่า 3 ผล ต่อ 1 ครั้ง กล้วยน้ำว้า 1-2 ผล กล้วยหอม 1-1 ครึ่งผล) และในกล้วยเอง ยังอุดมด้วย วิตามินบี 6 ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน แถมแร่ธาตุอย่างแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ที่ช่วยป้องกันโรคความดันอีกด้วย
สุขภาพดีได้ง่าย ๆ กับกล้วยน้ำว้าอย่างน้อย วันละ 1-2 ผล
     ในบรรดากล้วยทั้งหมด กล้วยน้ำว้าให้วิตามินเอสูงสุด นอกจากนั้นก็ยังมีวิตามินบี 1 บี 2 ซี และไนอะซิน (บี 6) ในปริมาณที่เท่า ๆ กัน แต่ที่ทำให้กล้วยน้ำว้า มีคุณค่าสารอาหารที่พิเศษกว่ากล้วยชนิดอื่น นั่นก็คือ โปรตีนที่อยู่ในกล้วยน้ำว้า มีกรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก ถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตอนเด็ก ๆ ผู้ใหญ่ถึงให้เรากินกล้วยบด เพราะอุดมด้วยสารอาหาร และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายเรานั่นเอง
นอกจากนี้กล้วยน้ำว้า ยังมีสรรพคุณในทางยาอีกด้วย มาดูว่ามีอะไรบ้าง
   1.ช่วยบรรเทาอาหารเจ็บคอ หรืออาการเจ็บหน้าอกจากการไอแห้ง ๆ ทานวันละ 5-6 ผล จะช่วยให้อาการระคายเคืองลดน้อยลงไปมาก
   2.ถ้าใครมีกลิ่นปากรุนแรงในตอนเช้า กล้วยน้ำว้าก็มีสรรพคุณทางยาช่วยลดกลิ่นปากได้ดี วิธีการคือ ทานกล้วยน้ำว้าหลังตื่นนอนทันที แล้วค่อยแปรงฟัน จะช่วยลดกลิ่นปากได้ นอกจากนี้ยังเป็นยาระบายช่วยแก้ท้องผูก หรือระบบขับถ่ายไม่ปกติ เนื่องมาจากสารเพคติน จะเป็นตัวเพิ่มใยอาหารให้กับลำไส้ เมื่อลำไส้มีกากอาหารมาก จะไปดันผนังลำไส้ ทำให้ผนังลำไส้เกิดการบีบตัว จึงทำให้รู้สึกอย่างถ่ายนั่นเอง ทั้งนี้วิธีการแก้อาการท้องผูกอีกวิธีหนึ่ง คือให้ทานกล้วยน้ำว้าสุข 1-2 ผล ก่อนนอน แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ จะช่วยให้ถ่ายท้องได้ดีในวันรุ่งขึ้น
   3.กล้วยน้ำว้า แก้ท้องผูกได้ ก็สามารถแก้ท้องเดินหรือท้องเสียได้ ทั้งนี้เพราะในกล้วยน้ำว้ามีสารแทนนินอยู่มาก จึงสามารถช่วยรักษาอาการท้องเสียแบบไม่รุนแรงได้ ใช้ใช้กล้วยน้ำว้าดิบหรือห่ามมาปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นบางๆ ใส่น้ำพอท่วม ต้มนานครึ่งชั่วโมง ดื่มครั้งละ 1/2 - 1 ถ้วยแก้ว ให้ดื่มทุกครั้งที่ถ่าย หรือทุกๆ 1-2 ชั่วโมง ใน 4-5 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นให้ดื่มทุก ๆ 3-4 ชั่วโมง หรือวันละ 3-4 ครั้ง
   4.กล้วยน้ำว้ายังสามารถรักษาโรคกระเพาะได้ โดยการนำกล้วยนำว้าดิบมาปอกเปลือก แล้วนำเนื้อมาฝานเป็นแผ่นบาง ๆ ตากแดด 2 วันให้แห้งกรอบ บดเป็นผงให้ละเอียด ใช้ทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำข้าว หรือน้ำผึ้ง ทานก่อนอาหาร ครึ่งชั่วโมง หรือก่อนนอนทุกวัน ทั้งนี้ในกล้วยดิบ จะกระตุ้นเซลล์ในเยื่อบุกระเพาะเพื่อหลั่งสารพวก “มิวซิน” ออกมาเคลือบกระเพาะ ซึ่งมีฤทธิ์ในการรักษาแผลในกระเพาะ
     ขอบคุณข้อมูลจาก: Never-age.com

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กล้วยผงชงกินแก้อาการท้องเสีย !!!


 

กล้วยผงชงกินแก้อาการท้องเสีย

     วันนี้เรามีเรื่องกล้วยๆ มาฝากเพื่อนๆ อีกแล้วค่ะ นั่นก็คือกล้วยผงใช้สำหรับชงดื่ม แก้อาการท้องเสียยังไงล่ะคะ โดยเริ่มจากการนำกล้วยมาปอกเปลือกออก จากนั้นก็ให้ฝานเป็นแว่นบางๆ ตามแนวขวางและเรียงใส่กระด้งจากนั้นให้ตากจนแห้งสนิท หรือไม่ก็อบด้วยเตาอบ โดยจากการนำกล้วยไปอบด้วยไฟประมาณ 50 องศาเซลเซียสและนานประมาณ 4 ชั่วโมงจนแห้งสนิท จากนั้นให้นำไปปั่นให้ละเอียด และนำไปร่อนด้วยแร่งเบอร์ 100 โดยการเก็บใส่ภาชนะมีฝาปิดสนิทหรือมีการเก็บสุญญากาศได้ก็ยิ่งดี ซึ่งจะเก็บไว้ใช้งานได้ราว 3 เดือน และซึ่งวิธีสังเกตว่ากล้วยผงยังไม่หมดอายุนั่นก็คือ เวลาที่เราตักใช้ผงกล้วยให้สังเกตว่ากล้วยยังมีความแห้งร่วน และหากเริ่มสัมผัสได้ถึงความชื้นก็ไม่ควรนำไปใช้ เพราะอาจจะเกิดจากการมีเชื้อราได้


วิธีใช้ ถ้าหากมีอาการท้องเสียหรือปวดท้องโรคกระเพาะนั้นให้ชงผงกล้วย 1-2 ช้อนโต๊ะมาผสมกับน้ำ ร้อนแล้วดื่มเมื่อมีอาการเพียงเท่านี้อาการท้องเสียก็จะทุเลาลงและหายไปค่ะ และซึ่งบางครั้งผงกล้วยอาจจะทำให้ท้องอืดได้ ก็ขอแนะนำให้แก้ไขโดยการดื่มน้ำขิงเพื่อเป็นการแก้อาการดังกล่าวได้

เห็นไหมล่ะคะ เรื่องกล้วยๆ ยังสามารถใช้เป็นยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บท้องหรือท้องเสียและโรคกระเพาะได้อีกต่างหาก แต่หลายคนกลับมองข้ามไป เราจึงได้นำมาเป็นความรู้ให้แก่เพื่อนๆ นั่นเองค่ะ ลองนำไปทำตามกันดูนะคะ

ขยายพันธุ์กล้วย

การขยายพันธุ์กล้วย


    กล้วยเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ง่าย  สะดวก  และไม่มีขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อนแต่อย่างใด
เดิมทีเดียวการขยายพันธุ์กล้วยทำได้  2  วิธี  ได้แก่
     1.การขยายพันธุ์โดยเมล็ด
     2.การขยายพันธุ์โดยหน่อ
1.การขยายพันธุ์โดยเมล็ด
     เป็นวิธีธรรมชาติดั้งเดิมของการขยายพันธุ์กล้วยที่มีเมล็ดมากอย่างกล้วยตานีและกล้วยน้ำว้าบางพันธุ์
การขยายพันธุ์โดยเมล็ดนี้  แต่เดิมชาวสวนจะนำเมล็ดแก่จากผลกล้วยที่แก่เต็มที่มาเพาะ  แต่เนื่องจากเมล็ดกล้วยมีเปลือกที่หนามากทำให้การเพาะเมล็ดต้องใช้เวลานานตั้งแต่  1-4  เดือน  จึงจะงอกให้เห็นต้นอ่อน  ทำให้การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดค่อยๆ  เสื่อมความนิยมลงไปจนเกือบไม่มีชาวสวนคนใดใช้วิธีขยายพันธุ์กล้วยโดยวิธีการเพาะเมล็ดอีกแล้ว  นอกจากนี้นักวิชาการที่เพาะเมล็ดเพื่อการศึกษาค้นคว้า
2.การขยายพันธุ์โดยใช้หน่อ
     ใช้หน่ออ่อน  (Peepers)
    หน่ออ่อน  ในนี้หมายถึง  หน่อที่มีอายุน้อยและมีขนาดเล็ก  ลักษณะของหน่อ  ใบเป็นใบเกล็ด  อยู่เหนือผิวดิน  (ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้า  พบว่า  หน่ออ่อนไม่เหมาะสำหรับการขยายพันธุ์)
     ใช้หน่อใบดาบ  (Sword  Suckers)
    หน่อใบดาบ  หมายถึง  หน่อกล้วยที่เกิดจากตาของเหง้าหน่อใบนี้ลักษณะใบจะเรียวเล็กและยาวเหมือนมีดดาบ  (บางคนเรียกหน่อใบแคระ)  หน่อมีความสูงประมาณ  75-80  เซนติเมตร  มีเหง้าติดอยู่เหมาะสำหรับการขยายพันธุ์  เพราะจะเจริญเติบโตแข็งแรงและให้ผลผลิตดี
     ใช้หน่อแก่  (Median Suckers)
    หน่อแก่  หมายถึง  หน่อที่เจริญเติบโตมาจากหน่อใบดาบใบจะแผ่กว้าง
วิธีดูว่าหน่อกล้วยใดเป็นหน่อแกให้นับอายุ  ในกรณีนี้หน่อแก่  หมายถึง  หน่อที่มีอายุประมาณ  5-8  เดือน
     ใช้หน่อใบกว้าง  (Water Suckers)
   หน่อใบกว้าง  หมายถึง  หน่อที่เกิดจากตาของเหง้าแก่หรือจากเหง้าที่ไม่สมบูรณ์  ใบจะแผ่กว้างขณะที่หน่อยังมีอายุน้อย  ซึ่งหน่อใบกว้างจะเกิดก็ต่อเมื่อต้นแม่ออกเครือและตัดเครือแล้ว  หน่อชนิดนี้จริงๆแล้วไม่เหมาะที่จะนำไปขยายพันธุ์  เพราะจะให้ผลขนาดเล็กลง
ส่วนที่ใช้
    ยางกล้วยจากใบ ผลดิบ ผลสุก(ทุกประเภท) ผลดิบ หัวปลี
สรรพคุณ
    ยางกล้วยจากใบ ใช้ห้ามเลือด โดยใช้ยางกล้วยจากใบหยอดลงที่บาดแผล ผลดิบ แก้โรคท้องเสีย ยาฝาดสมาน แผลในกระเพาะอาหารและอาหารไม่ย่อย โดยใช้กล้วยดิบทั้งลูก บดกับน้ำให้ละเอียดและใส่น้ำตาล รับประทาน(หรือไม่อาจใช้กล้วยดิบตากแห้งบดเป็นผงเก็บไว้ใช้ในยามที่จำเป็น อาจใช้ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำอุ่นกิน) ผลสุก ใช้เป็นอาหาร เป็นยาระบายสำหรับผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือผู้ที่อุจจาระแข็ง วิธีใช้โดยใช้กล้วยสุก 2 ผล ปิ้งกินทั้งเปลือก หัวปลี แก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ แก้โรคโลหิตจาง และลดน้ำตาลในเลือด

การทำเครื่องจักสาน

การทำเครื่องจักสานจากต้นกล้วย
 
       เนื่องจากต้นกล้วยเล็บมือนางในพื้นที่มีมากและขาดการนำมาใช้ประโยชน์ป้าแดงจึงทดลองนำเอาต้นกล้วยมาทำการจักสานเป็นเครื่องใช้ต่างๆปรากฏว่าได้ผลดีจึงทดลองทำออกจำหน่าย ซึ่งเป็นที่ต้องการของลูกค้า การทำเครื่องจักสานจากต้นกล้วยทำง่ายๆ ดังนี้
การทำเครื่องจักสานจากต้นกล้วย


 เครื่องจักสานจากต้นกล้วย 

วัสดุ/อุปกรณ์
• ต้นกล้วยเล็บมือนาง
• มีด
• เครื่องรีด
• ราวสำหรับตากต้นกล้วย
• แบบรูปทรงของที่จะจักสาน
วิธีการ
• ทำการคัดเลือกต้นกล้วยที่จะนำมาจักสานโดยให้เลือกต้นทีตัดผลแล้ว มีลำต้นสูง ใหญ่นำมาทำเป็นเชือกกล้วยก่อนที่จะนำมาจักสาน
• จากนั้นนำมาลอกเอาเฉพาะกาบที่มีลักษณะสีขาว มาทำการฝานเป็นเส้นตามแนวยาวให้มีความหนาประมาณ ½ นิ้ว
• จากนั้นนำไปตากให้แห้งสนิท ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วันก็ใช้ได้แล้ว
• เมื่อเชือกกล้วยแห้งสนิทแล้วก็นำมารีดด้วยเครื่องรีดให้มีความนุ่มเพื่อสะดวกในการจักสาน
• จากนั้นให้ทำการลอกเชือกกล้วยให้เป็นสองเส้นและขูดนำเนื้อเยื่อข้างในออกให้หมด
• นำมารีดอีกครั้ง แล้วนำไปจักสานขึ้นรูปตามความต้องการ เช่นกระเป๋า หมวก ตะกร้าฯลฯ
ข้อดีของเครื่องจักสานจากเชือกกล้วย
• มีความคงทน สวยงาม
• เป็นการให้วัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์

กล้วยหักมุกปิ้ง

***กล้วยหักมุกปิ้ง หอมน่าทาน***       
      ผลของกล้วยหักมุก จะมีผลใหญ่ ก้านผลยาว ปลายผลลีบลง มีเหลี่ยมชัดเจน เปลือกหนา เมื่อสุกเปลือกผลจะมีสีเหลืองอมน้ำตาล มีนวลหนา เนื้อผลของกล้วยหักมุกจะสีส้ม เมื่อนำผลกล้วยหักมุกไปปิ้งไฟจะมีกลิ่นหอมตลบอบอวลชวนรับประทานเป็นยิ่งนัก
สรรพคุณของกล้วยหักมุกและวิธีใช้
     1. กล้วยหักมุกมีสรรพคุณ โดยมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุท้องเสีย กล้วยมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสียได้แก่ เอสเคอริเคีย โคไล (Escherichia coli)
     2. ในกล้วยจะมีสาร tannin ซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้แก้อาการท้องเสียได้
     3. กล้วยหักมุกมีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะ เมื่อทดลองให้หนูขาวกิน aspirin แล้วกินผงกล้วยดิบ พบว่าป้องกันไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะได้ เมื่อกินผงกล้วยดิบในขนาด 5 กรัม และรักษาแผลที่เป็นแล้วในขนาด 7 กรัม สารสกัดมีฤทธิ์เป็น 300 เท่า ของผงกล้วยดิบ โดยออกฤทธิ์สมานแผลและเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเมือก โดยเพิ่มเมือกและเร่งการแบ่งตัวของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีผลต่อกระบวนการสร้างมาโครเซลล์ (macrophage cell) อันส่งผลไปถึงการรักษาแผลได้อีกด้วย
    4. สารสำคัญในการออกฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะ คือสารที่เรียกว่า ไซโตอินโดไซด์ วัน, ทู, ทรี, โฟ และไฟว์ (sitoindoside I, II, III, IV, V) สารที่ออกฤทธิ์ดีที่สุดในการต้านการเกิดแผลในหนูที่เป็นแผลในกระเพาะ คือ ไซโตอินโดไซด์โฟ (sitoindoside IV) ซึ่งช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากแผลในกระเพาะอาหาร

      คำแนะนำในการใช้กล้วยรักษาอาการแน่นจุกเสียด ให้นำผลกล้วยดิบ หรืออาจใช้ผลกล้วยดิบที่ฝานบางๆแล้วตากแห้ง และบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใส่ในถ้วยแล้วนำน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสม ใช้รับประทานเพื่อรักษาอาการแน่น จุกเสียด หรือหากมีอาการท้องเสียก็ใช้ได้เช่นกัน

กล้วย เอ๋ย...กล้วย !!!

กล้วย เอ๋ย...กล้วย !!!

 

             กล้วยเมื่อเปรียบเทียบกับแอปเปิ้ลผลไม้ที่วงการโภชนาการยกย่องให้เป็นสุดยอดอาหารทรงคุณประโยชน์แล้ว กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ลถึง 4 เท่า มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่น ๆ มากกว่า 2 เท่า และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาทช่วยควบคุมความดันโลหิต

           นอกจากนี้กล้วยยังมีเส้นใยและกากอาหารไม่ว่าจะเป็นกล้วยสดหรือตากแห้งก็ล้วนแต่อุดมไปด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุกโตส และกลูโคส น้ำตาลเหล่านี้จะหมุนเวียนในกระแสโลหิตช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

           จากงานวิจัยพบว่า การรับประทานกล้วยเพียง 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอต่อการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที นักกีฬาจึงมักจะรับประทานกล้วยเป็นอาหารเพิ่มพลังงานก่อนหรือระหว่างการแข่งขัน
กล้วยยังได้ชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงสมองอีกด้วย มีงานวิจัยที่ให้นักเรียน 200 คนรับประทานกล้วยในมื้อเช้า ตอนพัก และมื้อกลางวันของทุกวัน เพื่อดูว่ากล้วยจะช่วยส่งเสริมกำลังสมองของพวกเขาได้หรือไม่ ผลปรากฏว่านักเรียนได้คะแนนดีจากการสอบตลอดปี การวิจัยแสดงให้เห็นว่า โพแทสเซียมในกล้วยที่มีอยู่ในปริมาณสูงทำให้นักเรียนตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น

           สำหรับคนที่ระวังเรื่องน้ำตาล กล้วยน้ำว้าคือกล้วยที่ดีที่สุดเพราะมีน้ำตาลน้อยถัดมาคือกล้วยไข่และกล้วยหอม กล้วยทั้งสามชนิดล้วนเป็นผลไม้ที่หาง่ายในบ้านเราราคาก็ไม่แพงจนเกินไป ประโยชน์ของกล้วยมากขนาดนี้หันมาทานกล้วยกันเยอะน๊า...

 

ผลไม้สารพัดประโยชน์

กล้วยน้ำว้า ผลไม้สารพัดประโยชน์

     แปลกใจบ้างไหมว่า ทำไมผู้ใหญ่ถึงชอบให้เด็ก ทาน กล้วยน้ำว้าบดก็เพราะว่าในกล้วยน้ำว้ามี โปรตีน และมีกรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก แถมยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย นั้นเป็นคุณค่าทางโภชนาการ คราวนี้เรามาดูกันว่า สรรพคุณทางยาของกล้วยน้ำว้า มีอะไรกันบ้าง

    1.ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและอาการเจ็บหน้าอก จากการไอแห้ง ทานวันละ 5-6 ผล จะช่วยให้อาการระคายเคืองลดน้อยลงได้
    2.ช่วยเรื่อง กลิ่นปาก ทำให้ลดกลิ่นปากได้ดี วิธีรับประทานคือทานกล้วยน้ำว้าหลังตื่นนอนทันที แล้วค่อยแปรงฟัน จะช่วยลดกลิ่นปากได้
    3.ช่วยเป็นยาระบายแก้ท้องผูกหรือระบบขับถ่ายไม่ปกติ วิธีรับประทานคือ ทานกล้วยน้ำว้าสุก 1-2 ผล ก่อนนอน และดื่มน้ำตามมากๆ จะช่วยให้ถ่ายท้องได้ดีในวันรุ่งขึ้น
    4.ช่วยแก้ท้องเดินหรือท้องเสียได้ ในกล้วยน้ำว้าจะมีสารเทนนินซึ่งสามารถช่วยรักษาอาการท้องเสียแบบไม่รุนแรงได้ โดยการน้ำกล้วยน้ำว้าดิบหรือกล้วยน้ำว้าห่าม มาปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นบางๆ ใส่น้ำพอท่วมยา ต้มนานครึ่งชั่วโมง ดื่มครั้งละ 1/2- 1 ถ้วยแก้ว ให้ดื่มทุกครั้งที่ถ่าย หรือทุกๆ 1-2 ชม. ใน 4-5 ชม.แรก หลังจากนั้นให้ดื่มทุกๆ 3-4 ชม. หรือ วันละ 3-4 ครั้ง (ถ้ายุ่งยาก ก็หายามาทานก็ได้ค่ะ)
    5.ช่วยรักษาโรคกระเพาะได้ นำกล้วยน้ำว้าดิบมาปอกเปลือก แล้วนำเนื้อมาฝานเป็นแผ่นบางๆ แตกแดด 2 วัน ให้แห้งกรอบ บดเป็นผงให้ละเอียด ใช้ทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำข้าว หรือน้ำผึ้ง ทานก่อนอาหาร ครึ่งชม. หรือก่อนนอนทุกวัน
    6.เปลือกกล้วยน้ำว้า ช่วยบรรเทาอาการคัน อันเนื่องมาจากแมลงกัดต่อย และผื่นแดงจากอาการคันได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อราและต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง

รู้สรรพคุณของกล้วยน้ำว้าอย่างนี้แล้ว รีบไปซื้อติดบ้าน ไว้รับประทานบ้าง ก็คงจะดีไม่น้อย ..

ประโยชน์ !!! ของกล้วย

     


ประโยชน์ของกล้วย (เดลินิวส์)

         ใครที่ชอบทานกล้วยบ้าง รู้ไหมว่ากล้วยมีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

         ดร.จีนคาร์เพอร์ นักโภชนาการ กล่าวว่า กล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยในกระเพาะ (Dyspepsia) ได้เป็นอย่างดี การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะทำให้กระเพาะแข็งแรง ปัญหาจากกรดในกระเพาะจะลดลง สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องแผลในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น

         นอกจากนี้ กล้วยยังมีฤทธิ์ทางปฏิชีวนะ สามารถฆ่าเชื้อได้อีกด้วย จากการทดลองผู้ป่วย 46 คน ที่มีอาการปวดในกระเพาะ โดยไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร โดยจัดให้ผู้ป่วยจำนวน 23 ราย ได้รับกล้วยผงบรรจุแคปซูลทุกวัน ส่วนอีก 23 ราย ให้รับแคปซูลของยาหลอกที่บรรจุแป้งธรรมดา

         พบว่าผ่านไป 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่ได้รับผงกล้วย ร้อยละ 50 ไม่มีอาการปวดเกิดขึ้นเลย และร้อยละ 25 มีอาการดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอดจำนวน ร้อยละ 20 เท่านั้นที่บอกว่ามีอาการค่อยยังชั่วขึ้น แสดงให้เห็นว่าการรับประทานกล้วย แม้ว่าจะอยู่ในรูปแบบผงก็ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้

          ส่วนใครที่ชอบกินกล้วยหอม รู้ไว้เลยว่า การกินกล้วยหอมหนึ่งผล ไม่เพียงแต่ทำให้อิ่มท้องเท่ากับข้าวหนึ่งจานเท่านั้น แต่กล้วยยังให้ผลทางยาและสมุนไพรที่ข้าวไม่มี คือสามารถดูแลและรักษากระเพาะอาหารได้

          ถ้าอยากมีสุขภาพที่ดี ก็อย่าลืมหันมาทานกล้วยกัน

สาระน่ารู้ !!!! เรื่อง กล้วย กล้วย




      “กล้วย” เป็นพืชที่นิยมปลูกกันทั่วไปตามบ้านเรือน ควบคู่กับวิถีชีวิตของ คนไทยมาเป็นเวลาช้านาน เพราะนอกจากจะนำผลมาใช้เป็นอาหารแล้ว ส่วน อื่นๆ ของลำต้นยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน เช่น ใบใช้ห่อของ ปลี ใช้เป็นอาหาร ลำต้นใช้เป็นอาหารสัตว์ ใช้ทำเชือกประดิษฐ์หัตถกรรม และใช้ ทำเป็นกระทงที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมในวันลอยกระทงอีกด้วย กล้วยมีชื่อ ทางวิทยาศาสตร์ว่า Musa sapientum Linn. อยู่ในวงศ์ Musaceae เป็นไม้ ล้มลุก มีลำต้นใต้ดิน อายุหลายปี ลำต้นบนดินรูปทรงกระบอก เกิดจากกาบ หุ้มซ้อนกันสูง 2-4 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับซ้อนกันรอบต้นที่ปลาย ยอด เป็นรูปขอบขนาน กว้าง 2.5-4.5 เมตร ยาว 1-2 เมตร ก้านใบค่อนข้าง กลมหนา ด้านบนเป็นร่องลึก ผิวใบเรียบมัน ท้องใบมีสีอ่อนกว่า มีนวล ดอก ออกเป็นช่อในลักษณะห้อยหัวลง ยาว 30-60 ซม. เรียกว่า ปลี ออกที่ปลาย ยอด มีใบประดับหุ้มช่อ ดอกสีแดงหรือสีม่วง ขนาดใหญ่ เรียกว่า กาบ ดอกย่อย ออกเรียงกันเป็นแผง มีกาบหุ้มรองรับอยู่ โดยดอกที่อยู่ส่วนปลายช่อ เป็นดอก ตัวผู้ ดอกที่โคนช่อเป็นดอกตัวเมีย ผลจึงออกเป็นช่อ เรียกว่า เครือ แต่ละช่อย่อย เรียกว่า หวี กล้วยหวีหนึ่งมีประมาณ 10 ผล เป็นผลสดกลมยาว ขนาด รูปร่าง และรสขึ้นอยู่กับพันธุ์ เนื้อกล้วยมีสีเหลืองครีม เมื่อสุกมีรสหวานรับประทาน ได้ มักไม่มีเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อหรือแยกเหง้า ไม่ชอบดินที่มีน้ำ ขัง จะอยู่ในดินร่วนซุยและดินเหนียวที่อุ้มน้ำได้ดี ในตำรายาไทยกล่าวถึง สรรพคุณของกล้วย ในการใช้บำบัดรักษาโรคต่างๆ ดังต่อไปนี้ คือ
    ราก แก้ไข้รากสาด แก้ไข้ตัวร้อน แก้ขัดเบา
    เหง้า ตำป่นทาท้องน้อยคนคลอดบุตร ทำให้รกลอก ภายหลังการ คลอดบุตร
    ต้น ห้ามเลือด ทากันผมร่วงและทำให้ผมขึ้น แก้โรคไส้เลื่อน
    ใบ รักษาโรคท้องเสีย แก้บิด ห้ามเลือด แก้ผื่นคันตามผิวหนัง
    ยางจากใบ ห้ามเลือด สมานแผล
    ดอก รักษาโรคเบาหวาน
    ผล บำรุงกำลัง บำรุงเลือด เป็นยาระบาย รักษาอาการอาหารไม่ ย่อย ท้องขึ้น มีกรดมาก สมานแผล แก้โรคบิด รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แก้ท้องร่วง แก้ริดสีดวง
      จะเห็นได้ว่ากล้วยมีสรรพคุณกว้างขวาง พบสารสำคัญหลายชนิดใน กล้วย เช่น benzopyrene, dopamine, epinephrine, tryptamine และ serotonin เป็นต้น โดยผลดิบมีสารแทนนินมาก จึงรักษาอาการท้องเสีย และบิด และมี ฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เชื่อว่าเกิดจากการกระตุ้นผนัง กระเพาะอาหารให้หลั่งสารเมือกออกมามากขึ้นและกระตุ้นให้เนื้อเยื่อของ กระเพาะเจริญเพื่อปิดแผลเมื่อเปรียบเทียบกับยารักษาโรคกระเพาะอื่นๆ ซึ่ง เป็นสารเคมีสังเคราะห์ เช่น aluminium hydroxide, cimetidine เป็นต้น สาร ประเภทนี้สามารถป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะได้ แต่ไม่สามารถสมานแผล ได้เหมือนกล้วย สารที่มีฤทธิ์ต้านแผลในกระเพาะของกล้วยคือ sitoindo side I ถึง IV โดยสาร sitoindoside IV หรือ sito sterol - 3 เป็นสารที่มีฤทธิ์มากที่สุด ไม่พบฤทธิ์ต้านการเกิดแผลของกระเพาะอาหารในกล้วยสุก แต่กล้วยสุกมี สรรพคุณเป็นยาระบายสำหรับผู้ที่เป็นริดสีดวงทวาร หรือผู้มีอุจจาระแข็ง
      จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า กล้วยเป็นสมุนไพรที่น่าสนใจ หาได้ง่าย น่าจะได้พัฒนามาใช้เป็นยาต่อไป สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วท.) เล็งเห็นถึงความสำคัญจึงทำการพัฒนา กล้วยให้ออกมาในรูปผลิตภัณฑ์ยาเม็ด ให้ชื่อว่า “แอนคูซิล” ในการรักษา โรคกระเพาะ เพื่อเป็นการนำสมุนไพรมาใช้ประโยชน์และทดแทนการนำเข้า ยาจากต่างประเทศ

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กล้วยมีประโยชน์อย่างไร !!!

 
(( ประโยชน์จากกล้วย ))
 
   กล้วยในเมืองไทย ที่นิยมรับประทานมีอยู่หลายพันธุ์  เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ กล้วยหักมุก กล้วยเล็บมือนาง  แต่สำหรับต่างชาติ  กล้วยที่นิยมมากที่สุดเห็นจะเป็นกล้วยหอม เพราะคุณสมบัติเรื่องกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์
 
   แต่กล้วยไม่ได้มีประโยชน์ในด้านการรับประทานอย่างเดียว  เรายังได้ประโยชน์จากด้านอื่นๆอีก  อาทิเช่น
 
สารอาหารที่ได้รับจากกล้วย  ได้แก่ 
 
- สารเทปโตแพน ( Trytophan ) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง  ร่างกายจะแปรไปเป็นสารซีโรโต  นิน ( Serotonin ) มีส่วนสำคัญต่อสมองส่วนการควบคุมอารมณ์ที่จะช่วยผ่อนคลายอารมณ์ ทำให้รู้สึกสงบ
- สารเซอโรโทนิน  มีฤทธิ์เป็นยาระบาย
- น้ำตาล  มีอยู่ 3 ชนิด  คือ ซูโครส ฟรักโทส  และกลูโคส   ที่ให้พลังงานเพราะร่างกายสามารถดูดซึมนำไปใช้งานได้ในทันที
- เส้นใยอาหาร  ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย
- ธาตุโพแทสเซียม ซึ่งช่วยควบคุมระบบความดันโลหิต ลดอัตราการเสี่ยงโรคหัวใจวาย เส้นโลหิตในสมองแตก
- นอกจากนี้ ยังมี ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส ไนอาซิน วิตามิน เอ บี1 บี2 บี6 และวิตามินซี
 
ด้านการใช้เป็นสมุนไพร   ต้นกล้วยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในทางสมุนไพรได้ทุกส่วน  ได้แก่ 
 
- ยางกล้วย ใช้เพื่อการห้ามเลือด
- ใบอ่อนของกล้วย  นำไปอังไฟพอนิ่ม ใช้ประคบแก้เคล็ดขัดยอก
- ก้านใบตอง  ตำให้แหลก ช่วยลดอาการบวมของฝี
- หัวปลี ทานเพื่อบำรุงน้ำนม และช่วยลดน้ำตาลในเลือด
- ผลดิบทั้งลูกบดกับน้ำสะอาดทานแก้ท้องเสีย
- ผลสุก ทานเป็นยาระบาย  ปรับระดับน้ำตาลในเลือด  แก้อาการซึมเศร้าหรืออาการเครียด
-  เปลือกกล้วย สามารถนำมาทาถู บริเวณแมลง สัตว์กัดต่อย ลดอาการ บวม แดง คัน ได้
 
ด้านการประกอบอาหาร   ส่วนต่างๆของกล้วยนำมาประกอบอาหารได้แทบทั้งหมด  ได้แก่  หัวปลี  หยวกกล้วย โดยเฉพาะผลทั้งสุก ห่าม และดิบ
 
-  หัวปลีนำมาทานเป็น เครื่องเคียงน้ำพริกต่างๆ ต้มยำปลาช่อนใส่หัวปลี ผัดหัวปลีใส่หมู
-  หยวกกล้วย นำมาทำ แกงหยวกใส่ไก่ หมกฮวก หมกหมู (อาหารอีสาน)
-  ผลกล้วย ได้แก่   นอกจากจะนำมาทำขนม และของทานเล่นที่เรารู้จักกันดี  แม้แต่เบเกอรี** ยังสามารถนำกล้วยมาเป็นส่วนประกอบสำคัญได้ด้วย อาทิ เค้กกล้วยหอม บราวนี่กล้วยตาก  เอแคลร์กล้วยหอม  เค้กตะโก้กล้วยหอม  คุ้กกี้กล้วยตาก บาร์กล้วยตาก พายกล้วยหอม หรือจะเป็นเครื่องดื่ม สมู้ทตึ้กล้วยหอม  กล้วยหอมปั่น แม้แต่ไอศกรีมกล้วยหอมช็อกโกแลตชิพ ยังนำกล้วยมาเป็นส่วนสำคัญได้อย่างลงตัว  ตอนนี้ยังมีร้านไอศกรีมชื่อดังที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ นำกล้วยอบมาเป็นตัวชูโรงแคมเปญใหม่  ก็ได้รับการตอบรับจากนักทานไอศกรีมเป็นอย่างดี
 
   ต่างชาติเองก็นิยมทานกล้วย และได้คิดเมนูกล้วยแปลกๆ หน้าตาน่าทานหลายเมนู  ดังเช่น รูปที่เรานำมาให้ดูด้านล่างนี้
 
  <<  Banana Split Brownie Pizza
 
  <<Banana Split Cake
 
  <<Curry Crusted Banana
 
  <<Grill banana and Nutella    
 

คุณค่าประโยชน์ของกล้วย !!!!!

 
 
      กล้วยอุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และ กลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที
      ประโยชน์ของกล้วยไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้น ยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่างๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรคเลยค่ะ ส่วนจะช่วยป้องกันโรคใดได้บ้างนั้นราไปหาข้อมูลมาให้แล้ว ดังนี้
1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง
 2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกา ยินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถ โฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้น เลือดฝอยแตก
 3. กำลังสมอง มีงานวิจัยในกลุ่มนักเรียน 200 คน โรงเรียน Twickenham พบว่ากินกล้วยมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา  ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปี ด้วยการจากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมใน กล้วยสามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น
4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย
5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคนจะมี ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า Try Potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะ ถูกเปลี่ยนเป็น Rerotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง
6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้ กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่ นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา
 7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียด ท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้
8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า
9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่างมหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้
10. ระบบประสาท วิธีควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงอย่างทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วยสารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้
11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย
12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้ อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทารกที่เกิดมา จะมีอุณหภูมิเย็น
13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ Try Potophan ทำให้อารมณ์ดี
14. การสูบบุหรี่ กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามินซี เอ บี6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียม ที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็วอันเป็นผล จากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง
15. ความเครียด โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจน ไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิด ความสมดุล
16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร "The New England Journal of Medicine" การกินกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%
17. โรคหูด การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติ โดยการใช้เปลือกของกล้วยวางปิดลงไปบนหูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ให้ด้านสีเหลืองของเปลือกกล้วยออกด้านนอก ก็จะสามารถรักษาโรคหูดให้หายได้
 

กล้วยน่ารู้ !!

      
 

 <<รวมเกร็ดจากกล้วย>>

      สำหรับผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ กล้วยอาจช่วยได้เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม ที่มีอยู่มากในกล้วยจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน
      วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้ กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่ นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา
      ในสังคมตะวันตก มีการใช้คำว่า " Banana " เป็นศัพท์แสลง ที่แปลว่า อาการบ้า เพี้ยน
      นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปี ด้วยการรับประทานกล้วย ในมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา จากงานวิจัยแสดง ให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยสามารถให้นักเรียนมี การตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น
    ลำต้นที่ล้มแล้ว  ไม่เสียประโยชน์ นำมาสับเป็นอาหารสัตว์ได้
    ทานกล้วยลูกเล็กๆคั่นระหว่างมื้ออาหาร ช่วยลดการอยากกินของจุบจิบได้
    มีความเชื่อว่า หญิงตั้งครรภ์ หากอยากได้ลูกแฝด  ให้หากล้วยแฝดมาทาน
      คนโบราณเชื่อกันว่า กล้วยต้นใดที่ลำต้นขาวเนียน สะอาด ไม่มีกาบใบแห้ง  มักเป็นที่สิงสถิตของผีสาวสวย ที่มักปรากฏตัวเวลากลางคืน  เรียกว่า นางตานี
      วิถีรับประทานกล้วยมื้อเช้าเพื่อลดน้ำหนักแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น และเป็นที่นิยมถึงขนาดก่อตั้งชุมชนออนไลน์ (Social Networking Service) สำหรับคนกินกล้วยมื้อเช้ากันเลย ( Mixi) โดยเริ่มจากทานกล้วยหอมอย่างเดียวในมื้อเช้า จะกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ เคี้ยวให้ละเอียด  หลังจากทานเสร็จแล้วยังหิวอยู่ ให้เว้นระยะเวลา 15-30 นาที จึงทานอย่างอื่น
      มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร  เปิดเผยว่า  คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์  ประสบความสำเร็จในงานวิจัยผลิตเส้นใยจากต้นกล้วย  เพื่อนำมาทอเป็นเสื้อผ้าสวมใส่  ซึ่งนอกจากจะสวมสบาย  ไม่ร้อน   ไม่อึดอัดแล้ว  ยังเป็นส่วนหนึ่งในการลดภาวะโลกร้อนที่เป็นปัญหาวิกฤติในทุกวันนี้
      ในพิธีหมั้นของคนไทย จะพบขนมกล้วย เพราะหมายถึงความเจริญงอกงาม  ได้ผลดกดื่น และในงานมงคลต่างๆ  มักนำต้นกล้วยหรือเครือกล้วยมาเป็นส่วนหนึ่งในพิธี  เพราะเชื่อว่าจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ สงบ ร่มเย็น


      เด็กๆยุคนี้ในสังคมเมืองทั่วทั้งโลก   เติบโตโดยอาศัยกล้วยแปรรูปหรือพิวรี(Banana Puree )  จนได้ชื่อว่า "เด็กยุคพิวรีกล้วย" ( The Pureed-Banana Generation)ลำต้น หยวก ใบกล้วย ใช้ทำกระทง พาน บายศรี  กล้วยจึงมีความผูกพันกับคนไทยมายาวนาน