วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรื่องกล้วย ๆที่ไม่กล้วย และยิ่งกว่ากล้วย !!!

  กล้วย เมื่อเปรียบเทียบกับแอปเปิ้ลแล้ว



กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ลสี่เท่า
มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า สองเท่า
มีฟอสฟอรัสมากกว่าสามเท่า
มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่าห้าเท่า
และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ มากกว่าสองเท่า และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต

โรคซึมเศร้า
จากการสำรวจโดย MIND ในกลุ่มของผู้ที่มีอาการซึมเศร้า หลายๆ คนรู้สึกดีขึ้นเมื่อกินกล้วยเหตุผลก็คือกล้วยมีส่วนประกอบของทริปโตแฟน (Tryptophan) โปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราจะเปลี่ยนให้เป็น เซโรโทนิน (Serotonin) ที่รู้จักกันดีว่า
จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย
อารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น
นอกจากนี้กล้วยยังมีส่วนประกอบของวิตามินบี 6
ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่ ซึ่งมีผลไปถึงอารมณ์ของคุณด้วย ผู้หญิงที่มีอาการ PMS (Premenstrual Syndrome) หรือช่วง ´รมณ์บ่จอย´ ก่อนมีประจำเดือน) ควรกินกล้วยจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นนะจ๊ะ

โรคโลหิตจาง
กล้วยมีธาตุเหล็กอยู่มาก สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยรักษาอาการโลหิตจางได้ โรคเกี่ยวกับความดันโลหิต กล้วยมีโปแตสเซียมสูงมากในขณะที่มีเกลือต่ำ จึงช่วยปรับความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
อีกทั้งกระตุ้นการทำงานของสมองให้รู้สึกตื่นตัว
องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ยอมให้โรงงานผลิตกล้วยกล่าวอ้างได้ว่ากล้วยช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับความดันโลหิตได้

ท้องเสีย
กล้วยดิบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย เช่น Escherichia coli สารสำคัญคือแทนนิน มีฤทธิ์แก้อาการท้องเสีย
โดยนำกล้วยดิบมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง
แล้วบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใส่ในถ้วยน้ำชา ผสมกับน้ำผึ้งหนึ่ง ช้อนโต๊ะ รับประทานแก้ท้องเสีย

ทราบหรือไม่
แทบจะทุกส่วนของกล้วยมีสรรพคุณทางยาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น
- ผลกล้วยสุก บรรเทาอาการท้องผูก ความดันโลหิตสูง เจ็บคอ บำรุงผิว
- ต้นและใบแห้ง นำมาเผา รับประทานครั้งละประมาณหนึ่งช้อนชา หลังอาหาร แก้เคล็ดขัดยอก
- หัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนม
- ยางจากปลีกล้วยหรือก้านกล้วย ใช้รักษาแผลสด และทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้
- รากกล้วย แก้ปวดฟัน แก้ร้อนใน โลหิตจาง ปวดหัว ปัสสาวะขัด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
- ดอกกล้วย ช่วยเรื่องประจำเดือนขัด แก้ปวดประจำเดือน โรคเบาหวานและโรคหัวใจ
- เปลือกกล้วย แก้ผิวหนังเป็นหูด ตุ่มคัน หรือเป็นผื่น และฝ่ามือฝ่าเท้าแตก

กล้วยตอนเช้า คุณประโยชน์เต็มเปี่ยม

กล้วยตอนเช้า คุณประโยชน์เต็มเปี่ยม !!!

     หลายคนมองหาวิธีลดน้ำหนักให้ได้ผลอย่างจริงจัง บ้างอดข้าว อดน้ำ ไม่กินอะไรสักอย่างเพื่อให้น้ำหนักลดลง บ้างก็เลือกกินแต่ผลไม้อย่างเดียว บ้างก็ไปหาหมอเพื่อกินยาหวังให้ส่วนเกินลดลงไปหายไป บ้างก็กินยาถ่ายเพื่อหวังให้ตัวเบาขึ้นกว่าเดิม บ้างก็ใช้วิธีอื่น ๆ ที่ได้รับการบอกต่อกันมา
     วิธีเหล่านี้อาจจะมีผลดีบ้างในช่วงแรก ๆ แต่หลังจากผ่านเวลาไปสักพักแล้วก็จะพบว่าไม่เป็นผล ไม่มีทางที่ใครจะกินผลไม้อย่างเดียวไปตลอดชีวิต หรือไม่กินอะไรเลยทั้งวันต่อเนื่องกันยาวนาน หรือาจใช้การกินยาถ่ายบ่อย ๆ เมื่อผ่านเวลาไปนาน ๆ เข้า ลำไส้ก็จะเริ่มทำงานผิดปกติ คราวนี้ยาถ่ายก็จะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป แถมยังส่งผลร้ายให้เป็นคนขับถ่ายได้ยากกว่าเดิม บางคนส่งผลถึงกับกลายเป็นคนถ่ายไม่ออกเป็นเดือน ๆ ก็มี แล้วถ้าเช่นนั้นจะใช้วิธีไหนดีน้ำหนักถึงจะลดลงได้
     วิธีหนึ่งที่น่าสนใจและกำลังเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่นก็คือ การกินกล้วยมื้อเช้า หลายคนอาจทำหน้างงว่าทำไมต้องเป็นกล้วยมื้อเช้า เป็นแอปเปิล มะละกอ แตงโม ระกำ บ้างได้ไหม ก็ขอแนะนำตรงนี้เลยว่า กล้วยนับเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดชนิดหนึ่ง ในกล้วยนั้นจะมีวิตามินบี 1 และบี 2 ที่ช่วยในการเร่งเผาผลาญ น้ำตาลและไขมัน ทั้งยังช่วยฟื้นฟูร่างกายการจากเหนื่อยล้า อีกยังมีโปแตสเซียมช่วยในการขับโซเดียม อันเป็นหนึ่งในตัวการที่จะทำให้ความดันเลือดสูงออกทางปัสสาวะ และส่งผลให้ลดการบวมของร่างกายได้
     แมกนีเซียมในกล้วยยังช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียมในร่างกาย เส้นใยที่มีอยู่ในกล้วย จะส่งผลให้ระบบการขับถ่ายในแต่ละวันของร่างกายเราดีขึ้น กล้วยยังมีเซโรเทนินที่ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้นอีกด้วย
     กล้วยยังมีคุณประโยชน์อีกหลากหลายชนิด ทั้งไฟโตเคมิคัลที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ป้องกันมะเร็ง มีเอนไซม์ช่วยในการย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานหนักลดลง ในกล้วยดิบยังมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง และหากกล้วยสุก ก็ทำให้ร่างกายสร้างสารภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นกว่าปกติอีกด้วย
     ทั้งหมดเป็นประโยชน์ที่ได้รับจาการกินกล้วยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งกินตอนไหนก็ได้ แต่หากเราเฉพาะเจาะจงให้การกินกล้วยได้ผลสูงสุดต้องเป็นตอนเช้าครับ ทั้งหมดก็เพื่อจำกัดการทำงานของกระเพาะและลำไส้ให้น้อยที่สุด และจะทำให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟูสภาพอย่างเต็มที่ การกินกล้วยตอนเช้านั้นจะทำให้ร่างกายได้รับปริมาณน้ำที่พอดี การไหลเวียนของของเหลวในร่างกายก็จะดีขึ้น และหากอยากให้ได้ผลอย่างจริงจัง ก็ต้องกินเฉพาะกล้วยกับน้ำเปล่าเท่านั้น รวมทั้งต้องนอนก่อนเที่ยงคืนอีกด้วย และถ้าเกิดหิวขึ้นกลางดึกก็ควรจะกินผลไม้เท่านั้น
     ในยุคปัจจุบันด้วยแล้ว ช่วงเวลาตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่เร่งรีบที่สุด บางคนถึงกับไม่กินอาหารเช้ากันเลย หรือไม่ก็เลือกกินเพียงแค่กาแฟกับขนมปังเท่านั้น ดังนั้นถ้าหากลองเปลี่ยนช่วงเวลาแห่งความเร่งรีบ มากินกล้วยตอนเช้าก็น่าจะสะดวกง่ายดาย แถมกล้วยยังเป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์เยอะ ทำให้เมื่อกล้วยเคลื่อนที่เข้าไปสู่กระเพาะ การย่อยก็ไม่จำเป็น กล้วยจึงเคลื่อนที่สู่ลำไส้ และเริ่มดูดซึมไปใช้กับร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
      การกินกล้วยมื้อเช้ายังมีส่วนช่วยทำให้อาการท้องผูกหายไป และส่งผลให้อุจจาระที่ตกค้างอยู่ในร่างกายค่อย ๆ ลดลงอีกด้วย บางคนที่มีน้ำหนักเกินนั้น ไม่ได้เพียงเพราะมีไขมันล้นเกินเพียงอย่างเดียวหรอกครับ แต่เนื่องจากมีของเสียสะสมอยู่ในร่างกายมากเกินไปต่างหาก (บางคนมีอุจจาระสะสมอยู่ในตัวตั้ง 10 กิโลกรัม) เพราะฉะนั้นหลังจากเริ่มกินกล้วยมื้อเช้าไปแล้ว ของเสียต่าง ๆ จะเริ่มค่อยๆ ถูกขับออกมาจนน้ำหนักลดลง
      การกินกล้วยมื้อเช้า เพื่อหวังผลในการลดน้ำหนักนั้นอาจจะไม่ได้ผลในช่วงแรก ๆ ไม่ใช่ว่ากินเพียงแค่วันสองวัน แล้วจะได้ผลเลยทันที แต่ต้องทำต่อเนื่องติดต่อกินสักระยะ และหากอยากลดน้ำหนักอย่างจริงจัง ลองจดทุกอย่างที่กินเข้าไปในแต่ละวัน เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้าจนเข้านอน การจดจะช่วยทำให้คุณได้เข้าใจมากขึ้นว่า ในแต่ละวันคุณกินอะไรเข้าไปบ้าง
การกินกล้วยมื้อเช้านั้น ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยทำให้คุณไม่ต้องอด ไม่ต้องทน ไม่เปลืองเวลา และไม่เปลืองเงิน เพราะในระหว่างวันนั้นคุณอยากกินอะไรอยากทำอะไรก็ทำได้ (ยกเว้นเงื่อนไขตามที่บอกไปตอนต้น) แต่ถ้าคุณอยากรู้ว่าได้ผลจริงหรือไม่ ลองดูครับ พรุ่งนี้กินกล้วยตอนเช้าดูสิค่ะ

ที่มาข้อมูล kroobannok.com

กล้วย !!!

 กล้วย เมื่อเปรียบเทียบกับแอปเปิ้ลแล้ว




กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ลสี่เท่า
มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า สองเท่า
มีฟอสฟอรัสมากกว่าสามเท่า
มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่าห้าเท่า
และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ มากกว่าสองเท่า และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต

โรคซึมเศร้า
จากการสำรวจโดย MIND ในกลุ่มของผู้ที่มีอาการซึมเศร้า หลายๆ คนรู้สึกดีขึ้นเมื่อกินกล้วยเหตุผลก็คือกล้วยมีส่วนประกอบของทริปโตแฟน (Tryptophan) โปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราจะเปลี่ยนให้เป็น เซโรโทนิน (Serotonin) ที่รู้จักกันดีว่า
จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย
อารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น
นอกจากนี้กล้วยยังมีส่วนประกอบของวิตามินบี 6
ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่ ซึ่งมีผลไปถึงอารมณ์ของคุณด้วย ผู้หญิงที่มีอาการ PMS (Premenstrual Syndrome) หรือช่วง ´รมณ์บ่จอย´ ก่อนมีประจำเดือน) ควรกินกล้วยจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นนะจ๊ะ
 
โรคโลหิตจาง

กล้วยมีธาตุเหล็กอยู่มาก สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยรักษาอาการโลหิตจางได้ โรคเกี่ยวกับความดันโลหิต กล้วยมีโปแตสเซียมสูงมากในขณะที่มีเกลือต่ำ จึงช่วยปรับความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
อีกทั้งกระตุ้นการทำงานของสมองให้รู้สึกตื่นตัว
องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ยอมให้โรงงานผลิตกล้วยกล่าวอ้างได้ว่ากล้วยช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับความดันโลหิตได้

ท้องเสีย
กล้วยดิบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย เช่น Escherichia coli สารสำคัญคือแทนนิน มีฤทธิ์แก้อาการท้องเสีย
โดยนำกล้วยดิบมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง
แล้วบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใส่ในถ้วยน้ำชา ผสมกับน้ำผึ้งหนึ่ง ช้อนโต๊ะ รับประทานแก้ท้องเสีย

ทราบหรือไม่
แทบจะทุกส่วนของกล้วยมีสรรพคุณทางยาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น
- ผลกล้วยสุก บรรเทาอาการท้องผูก ความดันโลหิตสูง เจ็บคอ บำรุงผิว
- ต้นและใบแห้ง นำมาเผา รับประทานครั้งละประมาณหนึ่งช้อนชา หลังอาหาร แก้เคล็ดขัดยอก
- หัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนม
- ยางจากปลีกล้วยหรือก้านกล้วย ใช้รักษาแผลสด และทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้
- รากกล้วย แก้ปวดฟัน แก้ร้อนใน โลหิตจาง ปวดหัว ปัสสาวะขัด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
- ดอกกล้วย ช่วยเรื่องประจำเดือนขัด แก้ปวดประจำเดือน โรคเบาหวานและโรคหัวใจ
- เปลือกกล้วย แก้ผิวหนังเป็นหูด ตุ่มคัน หรือเป็นผื่น และฝ่ามือฝ่าเท้าแตก

เผยสรรพคุณเรื่องกล้วย-กล้วย

ชี้กินกล้วยสุกช่วยบรรเทาลำไส้ใหญ่อักเสบ


     กล้วยเป็นอาหารที่ปรุงได้ทั้งคาวและหวาน นอกเหนือจากการกินผลสุกเป็นผลไม้ ทว่าสิ่งที่มาควบคู่กับความอร่อยนั้นยังมีทั้งคุณค่าทางโภชนาการ และคุณสมบัติในการรักษาโรคบางชนิดได้อีกด้วย  คนโบราณใช้กล้วยเป็นพืชสมุนไพรในการรักษาโรคมานานแล้ว โดยใช้ทั้งผลกล้วย และเปลือกกล้วยให้เป็นประโยชน์ อาทิ กาบกล้วย ใช้ทาแก้โรคผมร่วง หัวล้าน ใบกล้วย รากกล้วย กาบกล้วยนำมาต้มน้ำเป็นยาดื่มช่วยลดไข้บรรเทาอาการปวดหัว เปลือกกล้วยใช้ทาแก้แมลงกัด และผื่นคัน เป็นต้น   ผลกล้วยทั้งดิบและสุก ก็นำมาใช้รักษาโรคได้มากมาย โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร อาทิ กล้วยน้ำว้าดิบ นำมาหั่นบางๆ ตากให้แห้ง บดผสมกับน้ำผึ้ง ใช้แก้โรคกระเพาะได้  คนที่ท้องผูก ควรเลือกกินกล้วยสุก เพราะมีสารแพ็กตินกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ไม่ควรกินกล้วยดิบ เพระมีสารแทนนิน ซึ่งจะทำให้ท้องผูกมากขึ้น แต่ถ้าท้องเสียควรกินกล้วยดิบ โดยนำมาเผาไฟให้สุกก่อนกิน  โรคเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่อักเสบ ก็ควรกินกล้วยสุก เพราะช่วยเคลือบผนังลำไส้ และช่วยเพิ่มกากกระตุ้นลำไส้ให้ทำงาน

ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

กล้วยน้ำว้า

 กล้วยน้ำว้า ประโยชน์กับการดูแลสุขภาพ !!!

     กล้วยน้ำว้า ผลไม้ไทย ที่มีมาแต่รู้โบราณ คนไทยรู้จักกล้วยน้ำว้าดีพอ ๆ กับกล้วยไข่หรือกล้วยหอม ยิ่งถ้าเป็นคุณค่าสารอาหารที่ได้รับแล้ว มากประโยชน์ถึงขั้นที่เรียกว่าต้องรีบไปหามากินกันเลยทีเดียว
กล้วยดีอย่างไร
     กล้วย ถึงจะเป็นผลไม้ ที่ไม่น่าจะให้พลังงานได้เยอะ แต่เชื่อหรือไม่ว่า กล้วยเป็นแหล่งพลังงานสำรองชั้นดี ในกล้วย 1 ผล สามารถให้พลังงานได้ร่วม 100 แคลอรี่ มีน้ำตาลธรรมชาติอยู่ 3 ชนิด ทั้ง ซูโครส ฟรุคโทส และกลูโครส รวมไปถึงเส้นใยและกากอาหาร ดังนั้น ถ้าหากหิว ก็สามารถทานกล้วยรองท้องได้ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของกล้วยที่กิน เช่น กล้วยไข่ อาจทานได้มากกว่า 3 ผล ต่อ 1 ครั้ง กล้วยน้ำว้า 1-2 ผล กล้วยหอม 1-1 ครึ่งผล) และในกล้วยเอง ยังอุดมด้วย วิตามินบี 6 ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน แถมแร่ธาตุอย่างแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ที่ช่วยป้องกันโรคความดันอีกด้วย
สุขภาพดีได้ง่าย ๆ กับกล้วยน้ำว้าอย่างน้อย วันละ 1-2 ผล
     ในบรรดากล้วยทั้งหมด กล้วยน้ำว้าให้วิตามินเอสูงสุด นอกจากนั้นก็ยังมีวิตามินบี 1 บี 2 ซี และไนอะซิน (บี 6) ในปริมาณที่เท่า ๆ กัน แต่ที่ทำให้กล้วยน้ำว้า มีคุณค่าสารอาหารที่พิเศษกว่ากล้วยชนิดอื่น นั่นก็คือ โปรตีนที่อยู่ในกล้วยน้ำว้า มีกรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก ถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตอนเด็ก ๆ ผู้ใหญ่ถึงให้เรากินกล้วยบด เพราะอุดมด้วยสารอาหาร และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายเรานั่นเอง
นอกจากนี้กล้วยน้ำว้า ยังมีสรรพคุณในทางยาอีกด้วย มาดูว่ามีอะไรบ้าง
   1.ช่วยบรรเทาอาหารเจ็บคอ หรืออาการเจ็บหน้าอกจากการไอแห้ง ๆ ทานวันละ 5-6 ผล จะช่วยให้อาการระคายเคืองลดน้อยลงไปมาก
   2.ถ้าใครมีกลิ่นปากรุนแรงในตอนเช้า กล้วยน้ำว้าก็มีสรรพคุณทางยาช่วยลดกลิ่นปากได้ดี วิธีการคือ ทานกล้วยน้ำว้าหลังตื่นนอนทันที แล้วค่อยแปรงฟัน จะช่วยลดกลิ่นปากได้ นอกจากนี้ยังเป็นยาระบายช่วยแก้ท้องผูก หรือระบบขับถ่ายไม่ปกติ เนื่องมาจากสารเพคติน จะเป็นตัวเพิ่มใยอาหารให้กับลำไส้ เมื่อลำไส้มีกากอาหารมาก จะไปดันผนังลำไส้ ทำให้ผนังลำไส้เกิดการบีบตัว จึงทำให้รู้สึกอย่างถ่ายนั่นเอง ทั้งนี้วิธีการแก้อาการท้องผูกอีกวิธีหนึ่ง คือให้ทานกล้วยน้ำว้าสุข 1-2 ผล ก่อนนอน แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ จะช่วยให้ถ่ายท้องได้ดีในวันรุ่งขึ้น
   3.กล้วยน้ำว้า แก้ท้องผูกได้ ก็สามารถแก้ท้องเดินหรือท้องเสียได้ ทั้งนี้เพราะในกล้วยน้ำว้ามีสารแทนนินอยู่มาก จึงสามารถช่วยรักษาอาการท้องเสียแบบไม่รุนแรงได้ ใช้ใช้กล้วยน้ำว้าดิบหรือห่ามมาปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นบางๆ ใส่น้ำพอท่วม ต้มนานครึ่งชั่วโมง ดื่มครั้งละ 1/2 - 1 ถ้วยแก้ว ให้ดื่มทุกครั้งที่ถ่าย หรือทุกๆ 1-2 ชั่วโมง ใน 4-5 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นให้ดื่มทุก ๆ 3-4 ชั่วโมง หรือวันละ 3-4 ครั้ง
   4.กล้วยน้ำว้ายังสามารถรักษาโรคกระเพาะได้ โดยการนำกล้วยนำว้าดิบมาปอกเปลือก แล้วนำเนื้อมาฝานเป็นแผ่นบาง ๆ ตากแดด 2 วันให้แห้งกรอบ บดเป็นผงให้ละเอียด ใช้ทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำข้าว หรือน้ำผึ้ง ทานก่อนอาหาร ครึ่งชั่วโมง หรือก่อนนอนทุกวัน ทั้งนี้ในกล้วยดิบ จะกระตุ้นเซลล์ในเยื่อบุกระเพาะเพื่อหลั่งสารพวก “มิวซิน” ออกมาเคลือบกระเพาะ ซึ่งมีฤทธิ์ในการรักษาแผลในกระเพาะ
     ขอบคุณข้อมูลจาก: Never-age.com

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กล้วยผงชงกินแก้อาการท้องเสีย !!!


 

กล้วยผงชงกินแก้อาการท้องเสีย

     วันนี้เรามีเรื่องกล้วยๆ มาฝากเพื่อนๆ อีกแล้วค่ะ นั่นก็คือกล้วยผงใช้สำหรับชงดื่ม แก้อาการท้องเสียยังไงล่ะคะ โดยเริ่มจากการนำกล้วยมาปอกเปลือกออก จากนั้นก็ให้ฝานเป็นแว่นบางๆ ตามแนวขวางและเรียงใส่กระด้งจากนั้นให้ตากจนแห้งสนิท หรือไม่ก็อบด้วยเตาอบ โดยจากการนำกล้วยไปอบด้วยไฟประมาณ 50 องศาเซลเซียสและนานประมาณ 4 ชั่วโมงจนแห้งสนิท จากนั้นให้นำไปปั่นให้ละเอียด และนำไปร่อนด้วยแร่งเบอร์ 100 โดยการเก็บใส่ภาชนะมีฝาปิดสนิทหรือมีการเก็บสุญญากาศได้ก็ยิ่งดี ซึ่งจะเก็บไว้ใช้งานได้ราว 3 เดือน และซึ่งวิธีสังเกตว่ากล้วยผงยังไม่หมดอายุนั่นก็คือ เวลาที่เราตักใช้ผงกล้วยให้สังเกตว่ากล้วยยังมีความแห้งร่วน และหากเริ่มสัมผัสได้ถึงความชื้นก็ไม่ควรนำไปใช้ เพราะอาจจะเกิดจากการมีเชื้อราได้


วิธีใช้ ถ้าหากมีอาการท้องเสียหรือปวดท้องโรคกระเพาะนั้นให้ชงผงกล้วย 1-2 ช้อนโต๊ะมาผสมกับน้ำ ร้อนแล้วดื่มเมื่อมีอาการเพียงเท่านี้อาการท้องเสียก็จะทุเลาลงและหายไปค่ะ และซึ่งบางครั้งผงกล้วยอาจจะทำให้ท้องอืดได้ ก็ขอแนะนำให้แก้ไขโดยการดื่มน้ำขิงเพื่อเป็นการแก้อาการดังกล่าวได้

เห็นไหมล่ะคะ เรื่องกล้วยๆ ยังสามารถใช้เป็นยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บท้องหรือท้องเสียและโรคกระเพาะได้อีกต่างหาก แต่หลายคนกลับมองข้ามไป เราจึงได้นำมาเป็นความรู้ให้แก่เพื่อนๆ นั่นเองค่ะ ลองนำไปทำตามกันดูนะคะ

ขยายพันธุ์กล้วย

การขยายพันธุ์กล้วย


    กล้วยเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ง่าย  สะดวก  และไม่มีขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อนแต่อย่างใด
เดิมทีเดียวการขยายพันธุ์กล้วยทำได้  2  วิธี  ได้แก่
     1.การขยายพันธุ์โดยเมล็ด
     2.การขยายพันธุ์โดยหน่อ
1.การขยายพันธุ์โดยเมล็ด
     เป็นวิธีธรรมชาติดั้งเดิมของการขยายพันธุ์กล้วยที่มีเมล็ดมากอย่างกล้วยตานีและกล้วยน้ำว้าบางพันธุ์
การขยายพันธุ์โดยเมล็ดนี้  แต่เดิมชาวสวนจะนำเมล็ดแก่จากผลกล้วยที่แก่เต็มที่มาเพาะ  แต่เนื่องจากเมล็ดกล้วยมีเปลือกที่หนามากทำให้การเพาะเมล็ดต้องใช้เวลานานตั้งแต่  1-4  เดือน  จึงจะงอกให้เห็นต้นอ่อน  ทำให้การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดค่อยๆ  เสื่อมความนิยมลงไปจนเกือบไม่มีชาวสวนคนใดใช้วิธีขยายพันธุ์กล้วยโดยวิธีการเพาะเมล็ดอีกแล้ว  นอกจากนี้นักวิชาการที่เพาะเมล็ดเพื่อการศึกษาค้นคว้า
2.การขยายพันธุ์โดยใช้หน่อ
     ใช้หน่ออ่อน  (Peepers)
    หน่ออ่อน  ในนี้หมายถึง  หน่อที่มีอายุน้อยและมีขนาดเล็ก  ลักษณะของหน่อ  ใบเป็นใบเกล็ด  อยู่เหนือผิวดิน  (ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้า  พบว่า  หน่ออ่อนไม่เหมาะสำหรับการขยายพันธุ์)
     ใช้หน่อใบดาบ  (Sword  Suckers)
    หน่อใบดาบ  หมายถึง  หน่อกล้วยที่เกิดจากตาของเหง้าหน่อใบนี้ลักษณะใบจะเรียวเล็กและยาวเหมือนมีดดาบ  (บางคนเรียกหน่อใบแคระ)  หน่อมีความสูงประมาณ  75-80  เซนติเมตร  มีเหง้าติดอยู่เหมาะสำหรับการขยายพันธุ์  เพราะจะเจริญเติบโตแข็งแรงและให้ผลผลิตดี
     ใช้หน่อแก่  (Median Suckers)
    หน่อแก่  หมายถึง  หน่อที่เจริญเติบโตมาจากหน่อใบดาบใบจะแผ่กว้าง
วิธีดูว่าหน่อกล้วยใดเป็นหน่อแกให้นับอายุ  ในกรณีนี้หน่อแก่  หมายถึง  หน่อที่มีอายุประมาณ  5-8  เดือน
     ใช้หน่อใบกว้าง  (Water Suckers)
   หน่อใบกว้าง  หมายถึง  หน่อที่เกิดจากตาของเหง้าแก่หรือจากเหง้าที่ไม่สมบูรณ์  ใบจะแผ่กว้างขณะที่หน่อยังมีอายุน้อย  ซึ่งหน่อใบกว้างจะเกิดก็ต่อเมื่อต้นแม่ออกเครือและตัดเครือแล้ว  หน่อชนิดนี้จริงๆแล้วไม่เหมาะที่จะนำไปขยายพันธุ์  เพราะจะให้ผลขนาดเล็กลง
ส่วนที่ใช้
    ยางกล้วยจากใบ ผลดิบ ผลสุก(ทุกประเภท) ผลดิบ หัวปลี
สรรพคุณ
    ยางกล้วยจากใบ ใช้ห้ามเลือด โดยใช้ยางกล้วยจากใบหยอดลงที่บาดแผล ผลดิบ แก้โรคท้องเสีย ยาฝาดสมาน แผลในกระเพาะอาหารและอาหารไม่ย่อย โดยใช้กล้วยดิบทั้งลูก บดกับน้ำให้ละเอียดและใส่น้ำตาล รับประทาน(หรือไม่อาจใช้กล้วยดิบตากแห้งบดเป็นผงเก็บไว้ใช้ในยามที่จำเป็น อาจใช้ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำอุ่นกิน) ผลสุก ใช้เป็นอาหาร เป็นยาระบายสำหรับผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือผู้ที่อุจจาระแข็ง วิธีใช้โดยใช้กล้วยสุก 2 ผล ปิ้งกินทั้งเปลือก หัวปลี แก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ แก้โรคโลหิตจาง และลดน้ำตาลในเลือด